EDITORIAL / THE SIGNATURE STORY OF AIR JORDAN 1

THE SIGNATURE STORY OF AIR JORDAN 1

Update at 18 September 2020

Air Jordan 1 High Chicago 1985

นานมาแล้วที่แฟนรองเท้าทั่วโลกยกย่องให้ “Air Jordan 1” รองเท้าบาสเกตบอลจากปี 1985 เป็นศาสดาแห่งวงการสนีกเกอร์แม้รุ่นนี้จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสตรีทแวร์มาหลายวัฏจักร ผลิตมาแล้วหลายยุคหลายสมัยแต่กาลเวลาก็ไม่สามารถทำให้ความเลื่อมใสศรัทธาเสื่อคลายไปได้เลย มันสามารถอยู่ร่วมกันได้กับทุกสไตล์แฟชั่นตั้งแต่ฮิปฮอป พังก์ร็อก ไปจนเสื้อผ้าสุดหรูและไม่ว่า Nike/Jordan จะหยิบรุ่นนี้มาทำใหม่สักกี่ครั้งก็สร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเราเสมอ ซื้อยากซื้อเย็นไม่ว่าจะสีต้นหรือสีใหม่ๆ ก็อย่างหวังจะได้มาง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าบรรพบุรุษ OG รุ่นเก่าที่ออกตอนปี 1985 ก็กลายเป็นของสุดหายากในปีนี้ โทรมแค่ไหนราคาก็ไหลกระฉูด จะมาบ่นไปก็เท่านั้นเพราะยังไงเราก็ทำทุกทางให้ได้มาอยู่ดี โดยเฉพาะในปี 2020 ที่ Air Jordan 1 เดินทางมาครบรอบปี 35 แล้วเรามาคุยกันถึงเรื่องราวความเป็นมาของรองเท้ารุ่นนี้กันดีกว่า

Air Jordan 1 High Chicago 1985

Air Jordan 1 วางจำหน่ายครั้งแรกในวันที่ 15 กันยายน ปี 1985 ในราคา 65 ดอลล่าสหรัฐ แต่เรื่องราวของรองเท้ารุ่นนี้จริงๆเริ่มขึ้นในปี 1984 ปีเดียวกับที่ Apple เปิดตัวคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก คุณ Sonny Vaccaro แมวมองของ Nike ได้พบกับ “ไมเคิล จอร์แดน” นักบาสเกตบอลจากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาที่กำลังก้าวสู่การเล่นอาชีพใน NBA เขาคือดาวรุ่งที่ทุกคนจับตามอง จากนั้น Rob Strasser หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Nike จึงรับเสนอสัญญามูลค่ามหาศาลจอร์แดน มันเป็นเงินก้อนโตที่สุดเท่าที่ผู้เล่นหน้าใหม่เคยได้จากแบรนด์กีฬา และมากพอจะทำให้ไมเคิลเปลี่ยนใจจากแบรนด์ Adidas ที่เขาชอบมาร่วมงานกับค่าย Swoosh สัญญานี้มาพร้อมกับข้อตกลงในการออกแบบรองเท้าซิกเนเจอร์ของจอร์แดนซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนโฉมวงการสนีกเกอร์ไปตลอดกาล ( ไนกี้เสนอให้จอร์แดนปี $500,000 ต่อปีเป็นเวลา 5 ปีติด แต่ adidas และ Converse เสนอให้ที่ $100,000 ต่อปี )

Michael Jordan wearing the Air Jordan 1 via BleacherReport

“ซิกเนเจอร์ โมเดล” คือรองเท้ารุ่นที่แบรนด์ทำออกมาสำหรับนักกีฬาที่มีชื่อเสียง ซึ่งมันมักจะออกแบบตามความต้องการของตัวนักกีฬา (และ) หรือมีดีไซน์ที่สะท้อนตัวตนของนักกีฬาคนดังนั้นๆ มันคือการตลาดชั้นดีที่ทำให้แบรนด์ขายรองเท้าได้กระจุยเพราะนอกจากจะได้นักกีฬาดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์แล้วยังกวาดยอดขายจากรองเท้ารุ่นเหล่านี้อีกด้วย ซึ่งสำหรับนักบาสเกตบอลหน้าใหม่อย่างจอร์แดน การที่เขาเริ่มอาขีพปีแรกแล้วมีรองเท้าซิกเนเจอร์ของตัวเองออกมาเลย เรียกว่าเขย่าวงการมากๆ เพราะกว่าที่นักบาสฯ สักคนจะมีรองเท้ารุ่นของตัวเองต้องโชว์ฟอร์มที่สุดยอดติดต่อกันหลายฤดูกาลจนมีชื่อเสียง มีฐานแฟนๆ ที่เยอะพอจะซื้อรองเท้าของเขา  แบรนด์กีฬาถึงจะเซ็นสัญญาออกรองเท้าด้วย การตัดสินใจครั้งนี้Nike คิดต่างไป พวกเขาต้องการเจาะตลาดวัยรุ่น และต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่สดใหม่ให้แบรนด์ แทนที่จะไปหานักกีฬาที่ดังอยู่พวกเขาเลือกที่จะทุ่มงบประมาณมหาศาลกับนักกีฬาหน้าใหม่ที่มาแรงที่สุด โดดเด่นที่สุด และสามารถเป็นที่หนึ่งได้ ซึ่งจอร์แดนคือคนคนนั้น เขาพาทีมบาสฯ มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา (North Carolina Tar Heels) คว้าแชมป์ระดับชาติในปี1982 และกำลังจะเล่นอาชีพในลีก NBA ปีแรกกับ Chicago Bulls

ผู้ที่เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้ดูแลการออกแบบรองเท้าของไมเคิล จอร์แดนก็คือ Peter Moore นักออกแบบที่อยู่เบื้องหลังโปสเตอร์โฆษณาดังๆ ของ Nike รวมถึงออกแบบสนีกเกอร์สุดคลาสสิกอย่าง “Nike Dunk” รูปลักษณ์ภายนอกของรุ่นได้ผสมผสานความหรูหราแบบสนีกเกอร์ฝั่งยุโรปที่จอร์แดนชื่นชอบเอาไว้ มันดูเรียบง่ายด้วย Panel ไม่กี่ชิ้นแต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากรองเท้าบาสเกตบอลรุ่นก่อนๆ ตัว Upper ผลิตด้วยหนังระดับพรีเมียมที่ให้ความนุ่ม และยืดหยุ่นสูง สวมใส่สบาย บริเวณข้อเท้าถูกเสริมด้วยฟองน้ำที่ช่วยให้มีความกระชับ ลิ้นรองเท้าหุ้มด้วยผ้าไนลอนน้ำหนักเบา ระบายอากาศได้ดี

Air Jordan 1 with out wings logo

แน่นอนว่าเมื่อมีรองเท้าเจ๋งๆ แล้วก็ต้องมีชื่อเท่ๆ ทีแรกฝ่ายการตลาดของ Nike อยากใช้ชื่อของใช้ชื่อไมเคิล จอร์แดนเป็นชื่อรุ่นรองเท้าเลย แต่ David Falk เอเจนท์ของจอร์แดนอยากใช้ชื่อเฉพาะมากกว่าใช้ชื่อบุคคล เขาอยากสร้างความเป็นแบรนด์ที่ชัดเจน ชื่อแรกที่ถูกเสนอมาคือ “Prime Time” แต่ยังไม่โดน คุณ Falk คิดพักใหญ่จนไปสะดุดกับคำว่าคำว่า “Air” ที่ Nike ใช้ในโฆษณา เขาเลยเกิดนำมาใช้เป็นคำว่า “Air Jordan” ซึ่งคนไนกี้ต่างเห็นด้วยกับคำนี้เพราะมันฟังดูติดหู สามารถผสมผสานตัวตนทั้งของ Nike และจอร์แดนเข้าไว้ในชื่อเดียว

Air Jordan 1 High Chicago 1985

ส่วนตรา “Wings Logo” นั้นออกแบบโดย Peter Moore เอง ไอเดียนี้เกิดขึ้นตอนเดินขึ้นเครื่องบินหลังจากการประชุม เขาเหลือบไปเห็นเข็มกลัดบนหน้าอกของเด็กคนหนึ่ง มันเป็นตราแบบเดียวกับที่อยู่บนหมวกกปิตัน,กัปตัน เป็นของที่ระลึกที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินมอบให้กับเด็กๆ คุณ Moore ชอบดีไซน์นี้มากถึงขั้นเดินไปขอตรานี้กับพนักงานหญิง แล้วก็ทำการออกแบบบนเครื่องบินทันที โดยเขาเปลี่ยนสัญลักษณ์ตรงกลางให้กลายเป็นลายลูกบาสเกตบอล และใส่คำว่า Air Jordan ลงไปด้านบน ทั้งหมดวาดถูกวาดลงบนลงบนกระดาษรองแก้วค็อกเทล และออกแบบเสร็จในเที่ยวบินนั้น

Peter Moore อดีต Creative Director 

จริงๆ แล้ว Moore ทำงานกับ Nike มาตั้งแต่ปี 1976 ในฐานะฟรีแลนซ์กราฟิกดีไซเนอร์ รับงานเป็นชิ้นๆ แต่ทุกชิ้นล้วนสร้างอัตลักษณ์ให้กับแบรนด์ไนกี้ จนในที่สุดเขาก็ได้แต่งตั้งให้เป็น Creative Director คนแรกแบรนด์ ซึ่งตรา “Wings Logo” นี้ก็เรียกว่าเป็นหนึ่งในผลงานระดับมาสเตอร์พีซของเขา มันดูลงตัว มันช่วยขยายความคำว่า Air Jordan ให้แข็งแรง สื่อถึงความเหนือชั้นของจอร์แดนที่ลงสนามแล้วเหมือนขึ้นเครื่องนำทีมบินไปสู่ชัยชนะ สัญลักษณ์ “Wing Logo” กลายมาเป็นโลโก้ของไมเคิลจอร์แดน ซึ่งนอกจากผลงานชิ้นนี้แล้ว ภายหลัง Moore ได้ย้ายไปทำงานกับ Adidas และเป็นผู้ออกแบบโลโก้ “3Bars” อันโด่งดังในปี 1997 อีกด้วย

Cr. esapparels.com

ความใส่ใจในรายละเอียด และการออกแบบทำให้ Moore ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้รองเท้า Air Jordan รุ่นแรกออกมาทันเปิดฤดูกาล 1984-1985 ของ NBA แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน ทางไนกี้จึงสั่งตัด Nike Air Ship รองเท้าบาสฯ ยุคนั้นให้จอร์แดนใส่ลงสนามไปก่อน โดยผลิตในสี “ดำ/แดง” แบบที่จะทำใน Air Jordan ซึ่งทันทีที่จอร์แดนใส่ลงสนามสีมันก็เป็นอะไรที่เตะตาทุกคนตามที่คุณ Moore ตั้งใจเอาไว้ แต่มันก็ไปเตะตาเจ้าหน้าที่ดูแลกฎของ NBA ด้วย สีแดงตัดดำอันโดดเด่นนี้ไปผิดระเบียบเครื่องแต่งกายของ NBA ซึ่งระบุว่า “รองเท้าที่นักกีฬาใส่จะต้องมีสีขาวเกิดกว่า 51% ของตัวรองเท้า” ซึ่งหากมีการละเมิดนักกีฬาจะถูกปรับ $5,000 ต่อเกม ซึ่งทาง NBA ก็ได้ออกจดหมายเตือนให้กับทางจอร์แดนออกมาจนกลายเป็นที่มาของตำนานการ“Banned” ขึ้นมา

Moore อยากทำรองเท้าบาสเกตบอลที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งในยุคนั้นรองเท้าบาสฯ ส่วนใหญ่มักเป็นสีขาว/ดำ แต่เขาเลือกที่จะหยิบสีดำ/แดง หรือมีชื่อเล่นที่แฟนรองเท้าเรียกกันว่า “Bred” (เกิดจากการออกเสียงคำว่า Black/Red ควบกันเป็นคำเดียว) ที่เข้ากับสีของยูนิฟอร์มทีม Chicago Bulls ต้นสังกัดของจอร์แดนมาออกแบบ มันให้ความรู้สึกดุดันสุดๆ แหวกแนวมากๆ แต่กลายเป็นว่าจอร์แดนไม่ถูกใจสิ่งนี้ เขาเรียกมันว่าสี “Davil’ s Color” แถมยังออกปากว่าไม่ชอบรองเท้าสีนี้ของตัวเองออกรายการ David Letterman อีกด้วย เรียกว่าทำเอาการตลาดไนกี้แทบขะเอารองเท้ามากมายหน้าผากกันเลย จอร์แดนอยากใส่อะไรเรียบๆ อย่างสีขาว-ฟ้าแบบ Converse Pro Leather หรือ Converse All Star College สีขาว/แดงที่ใส่ตอนเล่นระดับมหา’ ลัยมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม Peter Moore ก็พยายามอธิบายให้จอร์แดนเข้าใจว่าคู่สีนี้มันเป็นอะไรที่แหวกแนวและไม่เคยมีมาก่อน แต่ถ้าเขาไม่ชอบก็ยังมีสีอื่นให้ใส่

ไมเคิล จอร์แดนลงสนามใน Nike Air Ship สีดำ / แดง

ก่อนจะไปต่อต้องทำความเข้าใจกันก่อน คือ NBA ไม่ได้ห้ามจอร์แดนใส่รองเท้า Air Jordan 1 แต่ห้ามใส่รองเท้าที่มีสี “ดำ/แดง” และตอนนั้นจอร์แดนใส่ Nike Air Ship ดำ/แดงยังไม่ได้ใส่ Air Jordan 1 ด้วยซ้ำ แต่ด้วยการตลาดสายเทาทำให้ Nike หยิบประเด็นนี้มาทำโฆษณาทีวีที่มี copy ว่า “On September 15, Nike created a revolutionary new basketball shoe. On October 18, the NBA threw them out of the game. Fortunately, the NBA can’ t stop you from wearing them.” สรุปสั้นๆ“NBA ห้ามไม่ให้ไมเคิล จอร์แดนใส่ Air Jordan ลงสนาม แต่ไม่สามารถห้ามพวกคุณให้ใส่รองเท้ารุ่นนี้ได้” มันเหมือนเป็นการสร้างศัตรูร่วมกัน ซึ่งถ้าคุณอยากอยู่ฝ่ายจอร์แดนก็ต้องตอบโต้ NBA ด้วยการไปซื้อรองเท้ารุ่นนี้มาใส่ซะ ซึ่งอย่างที่บอกไปว่าไมเคิล จอร์แดนใส่ Air Jordan 1 Bred ลงสนามแค่ไม่กี่ครั้ง ที่ดังสุดก็คือในการแข่ง All-Star Dunk Contest ซึ่งไม่ใช่เกมอย่างเป็นทางการ NBA ไม่ปรับจอร์แดนแน่ๆ หรือเกมอื่นๆ จะมีการจ่ายค่าปรับหรือเปล่าก็ไม่มีใครยืนยันได้ แต่ที่แน่ๆ มันเป็นแผนการตลาดที่ประสบความสำเร็จมากๆ จากที่ Nike ตั้งยอดขายไว้ที่ 100,000 คู่ภายในปี 1985 แต่ปรากฏว่ากวาดยอดขายไปถึง 3 – 4 ล้านคู่ หรือราว 70 ล้านดอลล่าสหรัฐภายใน 2 เดือนแรก

Air Jordan 1 High Chicago 1985
Air Jordan 1 High Chicago 1985

งานนี้ถือเป็นโปรเจคท์ตัวท็อปของ Nike แน่นอนว่าเมื่อเป็นรองเท้าระดับ Flagship ของแบรนด์ก็ย่อมต้องมีรองรับแรงกระแทก“Nike Air” มาด้วย ซึ่งใช้ Air Bag แบบเต็มฝ่าเท้าแทรกภายในพื้นยางแบบ Cup Sole ซึ่งในยุคนั้นมันเป็นอะไรที่ล้ำสุดๆ แต่สิ่งที่เหล่าสาวก Air Jordan 1 ต่างรู้กันดีก็คือ Air Jordan 1 ไม่ใช่รองเท้าที่ใส่สบายแน่ๆ นั่นก็เพราะว่าไมเคิล จอร์แดนต้องพื้นรองเท้าที่บางพอจะให้เท้าสามารถสัมผัสได้ถึงพื้นสนาม และให้ความมั่นคงสูงในการหมุนข้อเท้า ทาง Peter Moore จึงออกแบบพื้นให้บางลง ตัดโฟมรองรับแรงกระแทกภายในออกให้เหลือน้อยที่สุด นอกจากนี้เขายังออกแบบ traction pattern ที่มีความหนึบ (ใส่เดินต้องมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดแน่นอน) นี่คือความลับที่ทำให้จอร์แดนสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างพลิ้วในสนาม

Air Jordan 1 “Ankle Straps” 1986 
Air Jordan 1,5 Chicago 1986

แค่พื้นรองเท้าแบบ Low-Profile ที่ช่วยให้จอร์แดนเคลื่อนที่ได้อย่างพลิ้วไหวก็บางเกินไปที่จะรองรับแรงกระแทกติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ถึงมันไม่ใช่ต้นเหตุหลัง แต่ก็มีส่วนที่ทำให้เขาเกิดอาการบาดเจ็บที่เท้าจนไม่สามารถเล่นได้จบฤดูกาล หมอประเมินว่าจอร์แดนต้องพักยาวถึง 6 สัปดาห์ ไนกี้จึงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยให้จอร์แดนกลับมาซ้อมได้ พวกเขาเลยทำการคัสตอม Air Jordan 1 สูตรพิเศษที่มีสายรัดข้อเท้าขึ้นมาแก้ขัดเพื่อให้จอร์แดนสามารถลงสนามได้ ซึ่งในระหว่างนั้น Peter Moore ก็แก้ปัญหาด้วยการนำเอาพื้นรองเท้าต้นแบบของ Air Jordan รุ่นที่ 2 มาใช้ โดยพื้นนี้จะมี Midsole เป็นโฟมpolyurethane หรือ PU ซึ่งมีน้ำหนักเบา และนุ่มขึ้น ภายในแทรกเทคโนโลยี Nike Air ที่รองรับแรงกระแทกได้มาก ซึ่งในส่วนของ Upper ยังคงดีไซน์เดิมของ Air Jordan 1 สี Chicago เอาไว้ มันจึงถูกเรียกว่า “Air Jordan 1.5” ซึ่งตอนนั้นไม่ได้ทำขายทั่วไป

เดิมที Nike ตั้งใจขะวางจำหน่าย Air Jordan 1 ใน 2 สีคือ “White/Black-Red” ที่ใช้ปลายเท้าสีดำหรือ ที่เรียกว่า “Black Toe” สำหรับใส่ในเกมส์เหย้า และสี “Black/Red” หรือ “Banned” หรือ “Bred” สำหรับใส่ในเกมเยือน แต่สี “Black Toe” ถูก Drop ไปก่อนแล้วโยกเอาสี White/Black-Red ที่ใช้ปลายเท้าสีแดงหรือที่รู้จักในชื่อสี “Chicago” มาแทน และยังเพิ่มสีทางเลือกต่างๆอีกมากมายได้แก่ “Black/Royal Blue” หรือ “Royal” “Black Toe” , “Black/White” , White/Dark Power Blue (UNC) , “Black/Grey” หรือ “Shadow” และ White/Blue ซึ่งนอกจากนี้ยังปล่อยเวอร์ชันไม่หุ้มข้อ Air Jordan 1 Low มาอีก 2 สี ส่วนในปี 1986 Nike ได้เจาะตลาดสตรีทแฟชั่นมากขึ้นด้วย Air Jordan 1 High “Metalic Pack” แถมยังออกเวอร์ชันวัสดุผ้าใบ“AJKO” (Air Jordan Knock Out) ที่มีราคาย่อมเยาลงมา

เรื่องราวของ Air Jordan 1 ในช่วง 80’ s ยังไม่หมดแค่รองเท้ารุ่นนี้จึงอยู่คู่ Pop-Culture และได้รับความนิยมอยากมากจนถึงปัจจุบัน

1985-1986 Air Jordan 1 Original Line-Up

Nike Air Jordan 1 Black/Red  “Bred”/“Banned” 1985

Nike Air Jordan 1 White/Black/Red “Black Toe” 1985

Nike Air Jordan 1 Red/White/Black “Chicago” 1985

Nike Air Jordan 1 White/Black 1985

Nike Air Jordan 1 Black/Gray “Shadow” 1985

Nike Air Jordan 1 Black/Royal Blue “Royal” 1985

Nike Air Jordan 1 White/Dark Powder Blue  “UNC” 1985

Nike Air Jordan 1 White/Natural Gray 1985

Nike Air Jordan 1 White/Blue 1985

Nike Air Jordan 1 White/Metallic Orange 1986

Nike Air Jordan 1 White/Metallic Dark Red 1986

Nike Air Jordan 1 White/Metallic Purple 1986

Nike Air Jordan 1 White/Metallic Green 1986

Nike Air Jordan 1 White/Metallic Blue 1986

Nike Air Jordan 1 KO Black/Red 1986

Nike Air Jordan 1 KO White/Red/Black 1986

Nike Air Jordan 1 KO White/Red 1986

Nike Air Jordan 1 KO White/Grey 1986

Nike Air Jordan 1 White/Metallic Blue Low 

Nike Air Jordan 1 White/Natural Gray Low  

Via. Last Dance, Netflix  // solecollector.com // highsnobiety.com


Content by
Kickznat

Lasted News More

CX TECHNOLOGY นวัตกรรมล่าสุดจาก CONVERSE

15 July 2021 CURATORS Team

SWATCH พาคุณพุ่งทะยานสู่จักรวาล

ด้วยแรงบันดาลใจที่ไร้ขีดจำกัดไปกับ “Space Collection” “The sky’s not the limit; dreams are”ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งไม่ให้คนไขว่คว้าฝันหรือทำสิ่งใดให้สำเร็จลงได้ก็เปรียบเสมือนท้องฟ้าที่ไม่เคยมีจุดสิ้นสุด บวกกับแนวคิดของ SWATCH ที่ว่า “Time is what you make of it” เวลาเป็นสิ่งที่คุณกำหนดได้เกิดเป็นแรงบันดาลในคอลเลคชั่นล่าสุด Swatch Space Collectionคอลเลคชั่นที่จะพาคุณพุ่งทะยานสู่จักรวาลและดวงดาว ถือเป็นการร่วมฉลองให้กับ NASA และก้าวต่อไปของ SWATCH กับนวัตกรรมวัสดุที่น่าหลงใหลอย่าง BIOCERAMICนาฬิกาสุดล้ำที่ผลิตมาจากเซรามิก 2/3 ส่วน และพลาสติกชีวภาพอีก 1/3 ส่วน กับสัมผัสที่นุ่มลื่นดุจผ้าไหมและให้ความรู้สึกเบา สบายเมื่อสวมใส่ โดยนาฬิกา 3 เรือนจาก 5 เรือนในคอลเลคชั่นนี้มีส่วนประกอบที่ผลิตมาจากวัสดุสังเคราะห์จากธรรมชาติบวกกับดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชุดอวกาศที่นักบินอวกาศของ NASA สวมใส่นั่นเอง มากันที่ 3 เรือนแรกกับโมเดลสุดฮิตอย่าง BIG BOLDที่ตัวเรือนผลิตมาจากนวัตกรรมวัสดุ BIOCERAMIC ด้วยหน้าปัดขนาด 47 มม. ที่ถูกดีไซน์มาให้โค้งรับกับข้อมือของผู้สวมใส่ทุกขนาดบวกกับแรงบันดาลใจของแต่ละรุ่นที่บอกเลยว่าไม่มีไม่ได้แล้ว! เริ่มกันที่เรือนแรกสีขาวสะดุดตากับ BIG BOLD CHRONO EXTRAVEHICULAR นาฬิกาที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชุดอวกาศสีขาวที่ใช้สวมใส่สำหรับการทำภารกิจนอกตัวยานเป็นสัญลักษณ์ที่ทุกคนคุ้นตาเป็นอย่างดีชุดอวกาศสีขาวนี้ถูกสวมใส่ครั้งแรกในปี 1983 โดยนักบินอวกาศของ NASA, Story Musgrave และ Donald Peterson สีขาวของชุดทำให้มองเห็นได้ชัดเมื่ออยู่ในอวกาศช่วยสะท้อนแสง และไม่ดูดซึมความร้อนจากดวงอาทิตย์มากเกินไป ซึ่งเป็นการปกป้องพวกเขาจากรังสีของดวงอาทิตย์นั้นเองดีไซน์สุดพิเศษกับไฮไลท์สีแดง สำหรับการนับถอยหลังช่วง 10 วินาทีสุดท้าย ขอบหน้าปัดเรืองแสง และถือเป็นรุ่นเดียวใน Space Collection ที่มีหน้าต่างวันที่ อยู่ที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกา ต่อกันที่นาฬิกาเรือนที่สองกับ BIG BOLD CHRONO LAUNCH สีส้มสุดจี๊ดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชุดนักบินอวกาศ The Orange Advanced Crew Escape Suit ใช้สวมใส่ขณะที่ยานถูกปล่อยขึ้น และยังเป็นที่มาของชื่อรุ่นว่า “Launch” อีกด้วย โดดเด่นกับหน้าปัดสีเงินที่ให้ความสว่างและง่ายต่อการบอกเวลาเพิ่มลูกเล่นด้วยไฮไลท์สีแดงสำหรับการนับถอยหลังช่วง 10 […]

11 June 2021 Kickznat

Patta x Tommy collection Exclusive only 24 Kilates

สิ้นสุดการรอคอย! สุดยอดงาน Collabsกันครั้งแรก ระหว่าง Patta และ Tommy Jeans กับการนำเสนอมุมมองโดย Filmmaker,Director จาก Nigeria นั้นคือ Dafe Oboro ที่เคยร่วมงานกับ Miu Miu และยังเคยกำกับหนังสั้นกับ Beyonce มาแล้วในชื่อ Black is King ในปี 2020 กับการเล่าผ่าน Pan-Africanism Flag เสมือนองค์กรที่เชื่อมโยง ผู้คน เรื่องราว ความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณีสิ่งต่างๆ ของ Black Community คนเชื้อสายแอฟริกันกลุ่มพื้นเมืองและคนพลัดถิ่นทั้งในอเมริกา และยุโรป อีกทั้งยังเป็นเครื่องหมายการต่อต้านการค้าทาสในอันอดีตแสนขมขื่นกับอดีตกาลและยังกล่าวถึงผู้คนเชื้อสายแอฟริกันทั้งหมดนั้นไม่ว่าจากชนชาติใดก็ตามในทวีปแอฟริกาทั้งหมดนั้นเราคือครอบครัวที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และมอบความรักต่อกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนาใดก็ตามเราจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแรงบันดาลมาจากคู่สี Tommy Flag Logo ที่ทดแทนด้วยสีของ Pan-African Flag ในโทน แดง ดำ เขียว ที่ใส่บนตัวเสื้อผ้า จัดเต็มแบบ Full Collection ทั้ง T-Shirt,Sweater,Hoodie & Cap พร้อมความพิเศษกับคอลเลคชั่นนี้กับ Donation ในการช่วยเหลือให้กับผู้พลัดถิ่นของคนแอฟริกันทั่วโลกที่จะแบ่งปันให้แก่กันนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดกับคำนิยามว่า Love For All

19 May 2021 Kickznat

SEE MORE